Movie free เรื่อง Fantastic Four (2015) สำหรับเรื่องของหนังภาคนี้นะครับ ภาคใหม่เนี่ย สำหรับใครที่ยังไม่รู้คือมัน ไม่ได้เป็นจักรวาลเดียวกัน กับหนังเมื่อปี 2005 นะครับ เท่าที่ผมอ่านข้อมูลในเน็ตมาก็คือ เมื่อปี 2005 เนี่ยเป็นจักรวาลหลัก เป็นเรื่องราวที่แบบ กลุ่มของ รี้ด ชาร์ดส และผองเพื่อนเนี่ย ออกไปอวกาศแล้วก็ไปเจอรังศีอะไรก็ไม่รู้ แต่ว่าในภาคเนี้ยจะเป็น การกำเนิดในรูปแบบใหม่ ที่อยู่ในจักรวาล Ultimate ที่เป็นในลักษณะของการเดินทางข้ามมิติ ไปเจอกันโซนอะไรสักอย่าง ผมก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องนะครับ
บอกตามตรงว่าผมรู้เรื่องเกี่ยวกับ Fantastic Four น้อยมาก รู้เท่ากับหนังเมื่อช่วงนั้นนั่นแหละ ของหนังยุคก่อนอ่ะครับที่มีอยู่ 2 ภาค ผมพยายามจะไม่เปรียบเทียบนะครับ เพราะว่าสองเรื่องนั้นก็ไม่ได้ดีมาก แต่ต้องแรกผมเองก็ไม่ได้รู้สึกแย่ หรืออะไรขนาดนั้น ก็คือดูขำๆ ดูเอาสนุกๆ ได้อ่ะครับ เเละสามารถดู ดูหนังออนไลน์ ได้เเล้วที่นี้ครับ
สำหรับตัวเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ แบบคร่าวๆนะครับ เริ่มต้นก็คือ หนังเนี่ยจะพาเราให้ไปรู้จักกับ รี้ด ชาร์ดส และ เบ็น กริมม์ ซึ่งสองคนนี้เขาเป็นเพื่อนสนิทกัน ตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว แล้วก็เหมือนจะมีการ พัฒนาโครงงานวิทยาศาสตร์แบบเด็กๆเกิดขึ้น เพียงแต่ว่ามันไม่ค่อยเด็กนะครับ ก็คือเดินทางข้ามมิติอะไรก็ไม่รู้
คือหนังจะแสดงให้เห็นว่า พวกของ รี้ด ชาร์ดส และ เบ็น กริมม์ พยายามจะสร้างไอ้เครื่องนี้ขึ้นมาให้ได้ แบบให้ไปแล้วก็กลับมาได้ด้วย ทีนี้พอถึงช่วง Hight School เนี่ย สองคนนี้ก็เหมือนไปแข่ง โครงงานวิทยาศาสตร์ แล้ว แฟรงค์กิ้น สตรอม พ่อของ จอห์นนี่ และ ซู สตรอมเนี่ย ก็ดันมาเจอโครงงานของสองคนนี้เข้า
ทำให้เขารู้สึกว่า โครงงานนี้มันเจ๋งนะ แล้วรัฐบาลเนี่ยคือจริงๆแล้วก็เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง กำลังพยายามไอ้โครงการนี้อยู่เหมือนกัน ก็เลยดึงสองคนนี้เข้าไปร่วมทีม ทำให้ทั้ง 4 คนนี้ที่เป็นตัวละครหลักๆของเรื่อง Fantastic Four ได้มาเจอกัน เพื่อพัฒนาโครงการเดินทางข้ามมิติขึ้นมา แล้วพอเขาเดินทางข้ามมิติไปจริงๆเนี่ย ก็เลยกลายเป็นว่า ได้พลังพวกนั้นกลับมา ง่ายๆเลย
จริงๆแล้วเราก็จะได้เห็นกันใน Trailer แล้วแหละ ทีนี้ปัญหาเนี่ย ก็คือผมไม่ค่อยชอบ หนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่เลยนะครับ คือผมเชื่อว่าหลายๆคน อาจจะได้เห็น ความคิดเห็นในด้านลบๆ ของหนังเรื่องนี้มาพอสมควร ทั้งในอินเตอร์เน็ต ในประเทศไทยเอง รวมถึงต่างประเทศด้วย เรียกว่าทุกคนร่วมใจกัน ถล่มหนังเรื่องนี้กันแบบ จมดินเลยก็ว่าได้
ผมไม่ค่อยอยากใช้คำว่าหนังเรื่องมันแย่ขนาดนั้นอ่ะ มันยังมีความน่าสนใจอยู่บ้าง ในหลายๆส่วนของหนัง เพียงแต่มันไม่ทำให้เรารู้สึกมีความสนใจ หรือว่า รู้สึกตื่นเต้นไปกับตัวเนื้อเรื่อง หรือฉากแอ็คชั่นหรือการแสดงทุกอย่าง ทุกอย่างโดยรวมดูเฟลมาก
แต่มันก็มีข้อดี ผมจะพูดถึงข้อดีก่อนก็แล้วกัน ข้อดีของหนังเรื่องนี้ มันก็ยังพอมีอยู่บ้างนะครับ เพียงแต่มันน้อยนิดมากๆนะครับ มาเริ่มต้นในส่วนของข้อดีนะครับ ข้อดีของหนังเรื่องนี้ ที่เห็นชัดที่สุดก็คงจะเป็น ในส่วนของนักแสดง นักแสดงในหนังเรื่องนี้ ถ้าเกิดใครเคยดูรายชื่อเนี่ย ก็คงจะเห็นว่า มีแต่นักแสดงที่เก่งๆทั้งนั้นเลย
แล้วก็ เรียกว่านักแสดงวัยรุ่นที่กำลังมาแรง ในวงการน่ะครับ อย่าง ไมเลส เทลเลอร์ เคท มาร่า ไมเคิล บี. จอร์แดน แล้วก็ เจมี่ เบล 4 คนนี้ถ้าเกิดใครเคยดูหนัง ที่พวกเขาเล่นเนี่ย ก็เรียกว่าเด่นๆ เทพๆ กันทั้งนั้นเลย ไมเลส เทลเลอร์ เนี่ย เรียกได้ว่าค่อนข้างโดดเด่นเลย ในบทของ รี้ด ชาร์ดส
แต่คือการแสดงเนี่ย ผมมองว่านักแสดงทุกคน พยายามเต็มที่แล้ว ที่จะทำให้มันออกมาดูดีมากที่สุด แม้ว่าบทมันจะห่วยแตกขนาดไหนก็ตาม ก็เรียกว่าพยายามแล้วน่ะครับ มีอะไรอีกนะที่เป็นข้อดี ผมค่อนข้างคิดได้ลำบากมากเลยนะครับ ผมกำลังพยายามนึกถึงข้อดีของหนังเรื่องนี้
อีกส่วนหนังที่ค่อนข้างน่าสนใจ ก็คงจะเป็นในส่วนของแนวคิด ทางด้านวิทยาศาสตร์อะไรนิดๆหน่อยๆ ที่มันฟังดูแล้วค่อนข้างน่าสนใจ เพียงแต่มันแตะแค่นิดเดียวเองอ่ะ มันก็เลยเหมือนกับว่า เราไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมหรือรู้สึกอินกับมันสักเท่าไหร่ คือมันเหมือนพูดๆมาแล้วก็ผ่านไป เท่านั้นเอง ก็ค่อนข้างน่าเสียดายนะครับ
อ้างอิงเครดิตจากแหล่งที่มา :: theoldpolicestation.org
ทีนี้ก็จะเป็นในส่วนของการยำหนังเรื่องนี้นะครับ โอเคครับ เริ่มจากบทก่อนเลย ตัวบทเนี่ยผมมองว่า มันเหมือนกับเอาหนังหลายๆ สไตล์ หลายๆ ประเภท มายำรวมกันน่ะครับ ช่วงต้นเรื่องเนี่ย จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์สักหน่อยนึง คือเป็นเรื่องการคิดค้นหานู่นนี่นั่น
สักพักพอเราผ่านจุดๆนั้นมาเนี่ย มันจะเป็นเหมือนหนัง ไซไฟ อ่ะครับ ที่มันจะคล้ายๆหนังเรื่องนึง ที่มันจะออกไปสำรวจดาวใหม่ๆอะไรทำนองนั้นน่ะครับ ใส่ชุดแล้วก็เจออะไรที่ พิเรนๆ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้อย่างนั้นก็แค่นั้น แต่พอผ่านจุดๆนั้นที่ ได้พลังมาแล้วเนี่ย ก็ดันกลายเป็นเหมือน Horror นิดๆ
อย่างช่วง ด็อกเตอร์ ดูม โผล่มาเนี่ย ผมเชื่อว่าถ้าเกิดใครได้ไปดูแล้วนะครับ ก็จะได้เห็นเลยครับว่ามันจะมี ความเป็น Horror นิดๆอยู่ เพียงแต่มันทำออกมาได้ไม่ดีอ่ะ มันไม่ได้ทำให้เราเห็นถึงการ นำเสนอของจุดๆนั้นของเนื้อเรื่องเลย เหมือนโทนของหนังมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวสักพักก็สว่างๆ แล้วอยู่ๆก็ดาร์คขึ้นมาซะเฉยๆ มันไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน มันเหมือนมันเป็นหนังที่ มันต่อนๆแล้วเอามาต่อๆกันเฉยๆ
ต่อไปก็จะเป็นในส่วนของทางด้านเทคนิค และภาพของหนังเรื่องนี้ ผมมองว่า มันค่อนข้างหลอกตานะ หลายๆฉาก เราสามารถมองออกเลยว่ามันเป็น Green Screen คือเห็นเลยว่ามันเป็นพื้นหลัง แต่ผมก็เข้าใจนะ เพราะว่าหนังเรื่องนี้ มีปัญหาเยอะมาก ถ้าใครได้ติดตามข่าวนะครับ
มีทั้งถ่ายทำใหม่ มีปัญหากับผู้กำกับ สตูดิโอ ไม่ชอบนู่นนี่นั่น เยอะแยะไปหมด ก็เลยเหมือนกับ ผลาญงบไปพอสมควรเลย มันก็เลยทำให้งบในส่วนของ CG เนี่ยมันหายไป ก็เรียกได้ว่าน่าเสียดายครับ เพราะว่ามันควรจะทำให้ได้ดีกว่านี้ ถ้าพูดถึงความใหญ่ของหนังนะครับ
แต่ทีนี้ พูดถึง เดอะ ธิงค์ เนี่ย เอาเฉพาะในส่วนของรูปร่างนะครับ ผมรู้สึกว่า ผมชอบมากกว่าในส่วนของปี 2005 หรือ 2008 นี่แหละ ที่สองภาคนั้น ทำมาจากชุดยางเลยใช่ไหมครับ ผมก็เลยรู้สึกว่ามันตลก แต่อันนี้มันเป็น CG มันเป็นโมชั่น ที่ดูดีกว่าเยอะเลย ตรงนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นข้อดีเหมือนกันนะครับ 5555
ส่วนที่เป็นปัญหาที่สุด แล้วผมก็ไม่ชอบในหนังเรื่องนี้ที่สุดเลยก็คือ ช่วงแอ็คสุดท้ายของหนัง คือในช่วงของสองแอ็คแรกเนี่ย มันก็เงียบๆเรียบๆเนื่อยๆมาเรื่อยๆ แต่มันก็ยังพอมีแนวคิดอะไร ที่ค่อนข้างน่าสนใจอยู่บ้าง ถึงมันจะไม่เยอะ แต่มันก็ยังพอมีบ้าง แต่ทีนี้พอช่วงสุดท้ายเนี่ย ช่วงที่ตัวร้ายของเราโผล่มา อยู่ดีๆก็โผล่มาแล้วก็ไล่ฆ่าคน
ดูๆไปแล้วเหมือนผมมานั่งบ่น หลังดูหนังเรื่องจบซะมากกว่านะครับ ต้องขออภัย แต่ก็นั่นแหละครับ อย่างที่ผมได้บอกไป ว่าหนังเรื่องนี้มันก็ได้ห่วยแตกซะขนาดนั้น แต่เรียกว่ามันมีปัญหามากๆเอาก็แล้วกันครับ ด้วยความที่หนังมันเดินเรื่องแบบเป็นเส้นตรง ไม่มีอะไรมาขั้นให้มันหวือหวาสักเท่าไหร่ รวมไปถึงบทและภาพ ที่มันดูมีปัญหา และหากใครที่อยากลองพิสูจน์ก็เชิญไปดูได้เลย